“ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร”
Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
“ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร”
คริสตจักรไคร้สตเชิช กรุงเทพ / แองลิกัน ลาดกระบัง
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2022
เอเฟซัส 2: 11-22
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Word Count 4,817 ; Time 44 minutes (110 คำต่อนาที)
[Slide# 1]
พระเจ้าสถิตกับท่าน [และสถิตกับท่านด้วย]
พี่น้องที่รักในพระคริสต์ครับ เรายังอยู่ในเอเฟซัส 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในบทที่ค่อนข้างสำคัญใน เอเฟซัส ทั้ง 6 บท บทที่สอง เป็นพื้นฐานสำหรับ การประยุกต์ใช้ในบทที่ 4, 5 และ 6 แนวเขียนของอาจารย์เปาโล จะเริ่มต้นที่หลักข้อเชื่อก่อน เมื่อเรามีหลักคิด ความเชื่อที่ตั้งบนความจริงที่เปิดเผยจากพระเจ้าแล้ว เมื่อมีหลักคิด ความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว อาจารย์เปาโลจะเข้าไปสู่การประยุกต์ใช้ สิ่งที่เราควรแสดงออกเป็นการประพฤติ หรือการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรนั้นๆ
[Slide# 2]
บทที่สองเป็นเหมือนกับหลักข้อเชื่อ เป็นความจริงที่พระเจ้าทรงสำแดงให้เราเข้าใจ และเมื่อเราเข้าใจความจริงนี้ และความเชื่อของเราถูกสร้างขึ้นบนความจริงนี้ เราก็จะสามารถประยุกต์ใช้ และสำแดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอกที่ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
บทที่ 2 ตอนแรก ข้อที่ 1-10 เป็นการสอนเรื่อง เราเป็นคนใหม่แล้ว คนใหม่ในพระคริสต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำสิ่งดีโดยพระคุณพระเจ้า จากสถานะเดิมของเราที่เป็นศพ ในข้อ 1-3
“1ท่านทั้งหลายตายโดยการละเมิดและการบาปของท่าน 2เมื่อก่อนพวกท่านเคยดำเนินชีวิตในการบาปนั้นตามวิถีของโลกนี้ ตามผู้ครอบครองที่มีอำนาจในฟ้าอากาศ คือวิญญาณที่ทำกิจอยู่ในพวกคนที่ไม่เชื่อฟังในเวลานี้ 3เมื่อก่อนเราทุกคนเคยประพฤติเหมือนพวกเขาตามตัณหาของเนื้อหนัง คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและของความคิด โดยวิสัยแล้วเราจึงเป็นคนที่สมควรได้รับการลงโทษเหมือนอย่างคนอื่นๆ”
แต่โดยพระคุณพระเจ้า เราที่เป็นศพ นี้ ทำอะไรไม่ได้แล้ว ตายแล้ว ผมอยากให้เรานึกถึง ดอกไม้ที่เราเด็ดออกมาจากต้น ความจริงมันตายแล้ว เพราะถูกตัดขาดจากต้นแล้ว แม้จะดูเหมือนยังสวยงามอยู่ มันได้ตายแล้ว แค่รอวันเหี่ยวเฉาแค่นั้นเอง เป็นศพไปแล้วครับ ตายแล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้าครับ ในพระคริสต์ เรากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
“4แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงรักเราโดยความรักอันใหญ่หลวงของพระองค์ 5ถึงแม้ว่าเราเป็นคนตายเนื่องจากการละเมิด พระองค์ยังทรงทำให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระคริสต์ (พวกท่านได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณ) 6และพระองค์ทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์ และทรงให้เรานั่งด้วยกันกับพระองค์ในสวรรคสถานในพระเยซูคริสต์”
และข้อพระคัมภีร์หลัก เกี่ยวกับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ พบในข้อ 8-9 ซึ่งหนุนใจให้พี่น้องท่องจำครับ เพราะเป็นหลักข้อเชื่อที่สำคัญ มรดกทางความเชื่อจากการปฎิรูปศาสนา
“8เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้”
และสุดท้ายครับ เรารับชีวิตใหม่นี้ จากเดิมที่เป็นศพ ความจริงแล้ว ความจริงทั้งยิวและคนต่างชาติ ต่างอยู่ภายใต้ผลของความบาป ก็เพื่อที่เราจะทำสิ่งดี เพื่อพระเจ้า เพื่อที่เราจะมีชีวิตที่นมัสการพระเจ้าครับ ในข้อ 10
“10เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม”
ครึ่งแรก อาจารย์เปาโลบอกกับผู้เชื่อ ว่า เราได้รับชีวิตใหม่แล้ว เราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ในบริบทของอาจารย์เปาโล หมายถึง ทั้งยิวและคนต่างชาติ ต่างเข้ามาพึ่งพระคุณพระเจ้าเหมือนกัน
ครึ่งแรกคือ “ชีวิตใหม่” ในพระคริสต์
ส่วนครึ่งหลัง ของคำเทศนาในวันนี้ คือ “สังคมใหม่” ในพระคริสต์ ชุมชนใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งแน่นอน หมายถึง คริสตจักร นั้นเอง
“ความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร” พระคำพระเจ้าหมายถึงอะไร
แต่ก่อนที่เราจะรับพระวจนะพระเจ้าในเช้า / บ่ายวันนี้ ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานเพื่อรับพระคำจากพระเจ้าร่วมกันครับ
“พระเจ้าผู้ทรงพระคุณ โปรดประทานหัวใจที่ถ่อม ยินดีรับการสอน และใจที่เชื่อฟัง ในขณะที่ลูกรับการเปิดเผยและสำแดงจากพระคำของพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอทรงประทานกำลังที่ลูกจะสามารถกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยและสำแดง ให้เป็นจริงในชีวิตของลูก ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
[Slide# 3]
เรารับชีวิตใหม่ ในพระคริสต์ นำไปสู่ ชุมชนใหม่ในพระคริสต์ ข้อที่ 11 อาจารย์เปาโล เริ่มต้นด้วย คำว่า “ดังนั้น” หมายความว่า ครึ่งหลัง เป็นผลมาจากครึ่งแรก
สามประการครับ ลักษณะ ชุมชนใหม่ในพระคริสต์ คริสตจักร ในพระคริสต์
(1) “แตกต่างและแตกแยก” ข้อ 11-12
อดีตของเรา
[Slide# 4]
พี่น้องให้เราอ่านออกเสียงด้วยกันครับ
“11ดังนั้นพวกท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นคนต่างชาติโดยกำเนิด (โดยเนื้อหนัง) และฝ่ายที่เข้าสุหนัต (ซึ่งทำต่อร่างกายด้วยมือมนุษย์) เคยเรียกท่านว่าพวกไม่ได้เข้าสุหนัต 12จงระลึกว่าตอนนั้นพวกท่านเป็นคนไม่มีพระคริสต์ ถูกตัดขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล เป็นคนนอกในเรื่องพันธสัญญาทั้งหลายที่ทรงสัญญาไว้ อยู่ในโลกนี้อย่างไม่มีความหวังและปราศจากพระเจ้า”
[Slide# 5]
เราอยู่ในโลกที่ย้อนแย้ง Paradox ใจหนึ่งเมื่อเราโหยหาและชื่นชมเมื่อเราเห็นข่าวความมีน้ำใจของคนไม่รู้จักกันในสังคม คนแปลกหน้าที่ช่วยเหลือกัน ภาพข่าว ไรเดอร์ช่วยขยับ Barrier ให้รถฉุกเฉินกู้ภัยพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ภาพข่าวที่ทั้งไรเดอร์ช่วยดันสามล้อถีบคนพิการขายลอตเตอรี่และคนขับรถด้านหลังช่วยบังให้ ภาพข่าวที่มีแท็กซี่ใจดี รีบพาลูกสาวที่ป่วยหนักส่งโรงพยาบาล ก่อนที่จะหายตัวไม่รับเงิน แท๊กซี่ใจบุญที่ขับรถส่งสองสามีภรรยากลับบ้านเป็นระยะทางกว่า 446 กม. ในช่วงโควิดเราเห็นภาพของจิตอาสา ช่วยนำส่งอาหาร ยาให้กับผู้ป่วยที่ติดโควิดถึงหน้าบ้าน จิตอาสาที่ช่วยประสานหาโรงพยาบาลให้ เราใจฟูเมื่อเห็นคนที่มีน้ำใจให้กับคนแปลกหน้า ช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ภาพของนานาชาติ ที่ระดมสรรพกำลัง ผู้เชี่ยวชาญช่วยเหลือน้องๆ 13 หมูป่าที่ติดในถ้ำหลวงเป็นเวลากว่า 16 วัน จ่าแซมเสียชีวิตในภารกิจ เพื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่เขาเองก็เคยไม่รู้จัก
[Slide# 6]
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นภาพของความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม การประหัตประหารทำร้ายกันทั้งทางคำพูด ความรุนแรง ทั้งในระดับโลก และในสังคมไทย กับคนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แน่นอนครับ ในช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น ความแตกต่าง ความแตกแยกในเรื่องการเมือง สงครามรัสเซียกับยูเครน ความตึงเครียดทางการทหารในช่องแคบไต้หวัน ระหว่างไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่ ในระดับประเทศ คงปฎิเสธไม่ได้ ความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตระหว่างกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า เสื้อเหลืองและเสื้อแดง ความคิดเห็นที่แตกต่างทางด้านการเมืองการปกครอง นำไปสู่ความแตกต่างและความแตกแยก จนกระทั่งนำไปสู่ความพินาศ
พี่น้องที่รักครับ เราอยู่ในโลก ในระบอบที่เป็นของมารซาตาน มันเป็นผู้ที่บงการและชักใยอยู่เบื้องหลัง ผ่านความอ่อนแอและกิเลสตัญหา หรือที่คริสเตียนเรื่องว่าการงานของเนื้อหนัง นำไปสู่ความแตกต่างนำไปสู่ความแตกแยกและนำไปสู่ความรุนแรงทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งแน่นอนปลายทางคือความพินาศ นี่คือระบบ ระบอบของมาร
ระดับส่วนตัว แม้ใจเราจะชื่นชมและโหยหาความมีน้ำใจต่อคนแปลกหน้า คนที่แตกต่างจากเรา ในขณะเดียวกัน เราเองก็เป็นคนที่สร้างกำแพงขึ้นเพื่อแบ่งแยกคนบางคนออกจากเรา คนที่แตกต่างจากเรา อาจจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับเรา เพศสภาพที่แตกต่างจากเรา ความคิดเห็นทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่คิดไม่ตรงกันเรา มารทำให้เรา ใช้คำพูดที่ ตีตราคนที่แตกต่างจากเรา เพื่อลดทอนคุณค่าความเป็นคนของเค้า ต่างคนต่างมองอีกฝั่งว่าโง่กว่า เลวร้ายกว่า การแตกก๊กแตกเหล่า สิ่งเหล่านี้เป็นการงานของเนื้อหนัง (กาละเทีย 5) และสิ่งเหล่านี้เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า เข้ามาในคริสตจักรในสมาชิกในคริสตจักร
ที่ยุโรป หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ที่กำลังจัดงานระลีกถึงครอบครัวของผู้สูญเสียชีวิตในสงคราม สมาชิกคริสตจักรที่เข้ามาร่วมงานแบ่งที่นั่งกันเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งคือกลุ่มที่ต่อต้านระบอบนาซี และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนระบอบนาซี
พระคัมภีร์ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน คริสตจักรในยุคแรกก็ไม่แตกต่างจากเราในวันนี้ บริบท มีทั้งผู้เชื่อที่เป็นยิว เป็นฝ่ายเข้าสุหนัต และผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติ คือ ไม่ใช่ยิว เป็นพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต คริสตจักรยุคแรกเผชิญความตึงเครียดระหว่างผู้เชื่อที่เป็นยิว และผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติ เราเห็นภาพความขัดแย้งนี้เริ่มต้นขึ้นในกิจการ 6:1 แม้เป็นยิวด้วยกันในเยรูซาเล็มแต่ต่างที่มา ยิวที่เกิดและโตในอิสราเอล และยิวที่เกิดและโตในอาณาจักรโรมัน “1ในเวลานั้นเมื่อพวกสาวกกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น พวกยิวที่พูดกรีกพากันบ่นติเตียนพวกยิวที่พูดฮีบรู เพราะบรรดาแม่ม่ายของพวกเขาถูกทอดทิ้งไม่ได้รับแจกอาหารประจำวัน”
[Slide# 7 & 8]
ปฐมกาล 17: 7-8, 10
“7เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายต่อมาของเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้าให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายต่อมาของเจ้า
8เราจะให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวนี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นแก่เจ้าและแก่เชื้อสายต่อมาของเจ้า ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”
10นี่เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งพวกเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับพวกเจ้า และเชื้อสายต่อมาของเจ้า คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุหนัต”
สำหรับยิวแล้ว การเข้าสุหนัตเป็นสัญลักษณ์ของพันธสัญญาจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าได้ทรงเลือกชนชาติอิสราเอลให้เป็นประชากรของพระเจ้า โดยมีสุหนัตเป็นเครื่องหมายที่ตัวของพวกเขา ความภูมิใจนี้ อาจจะทำให้พวกเขาคิดว่าเขามีสถานะที่สูงกว่า มีบรรพบุรุษเป็นอับราฮัม ที่ได้รับพรจากพระเจ้า ใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่าผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติ พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต
สุหนัตกลายเป็นความแตกต่าง ที่สร้างความแตกแยก ระหว่างอิสราเอลกับคนต่างชาติ แทนที่ อิสราเอลจะเป็นพร เป็นแสงสว่างพาคนต่างชาติให้กลับมานมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าเที่ยงแท้ อิสราเอลกลับหลงผิด เปลี่ยนจากการทรงเลือก ทรงเรียกจากพระเจ้าให้กลายเป็น ความเย่อหยิ่ง และยกตัวเองขึ้นสถานะเหนือคนต่างชาติ สุหนัตที่เป็นเพียงสัญลักษณ์พันธสัญญาระหว่างอับราฮัมกับพระยาห์เวห์ กลายเป็น ความแตกต่างที่สร้างความแตกแยก
แล้ว สุหนัตฝ่ายร่างกาย สำคัญหรือไม่สำหรับผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติ สุหนัตแท้ในจิตใจ ยิวแท้ ที่ไม่ใช่ยิวฝ่ายเนื้อหนัง กายภาพ อาจารย์เปาโลได้อธิบายใน
[Slide# 9]
โรม 2:29
“29คนเป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ได้รับจากพระเจ้า”
[Slide# 10]
ยอห์น ผู้ให้บัพติสมา ได้เตือนคนอิสราเอลให้กลับใจจากความบาป เชื้อชาติกำเนิดเป็นยิวไม่ได้หมายความว่าจะได้ความรอด รอดพ้นจากความพินาศและคำแช่งสาป ผลจากความบาป
มัทธิว 3:8
“8เพราะฉะนั้นจงเกิดผลให้สมกับการกลับใจ 9อย่าทึกทักว่าตัวเองมีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษ เพราะข้าพเจ้าบอกพวกท่านว่า พระเจ้าทรงสามารถให้บุตรแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้”
[Slide# 11]
พันธสัญญาเดิม พระยาห์เวห์ได้พูดถึง สุหนัตทางใจ
เยเรมีย์ 9:25-26
“25“พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ วันเวลากำลังจะมาถึงแล้ว เมื่อเราจะลงโทษทุกคนที่เข้าสุหนัตเพียงเนื้อหนังคือ 26คนอียิปต์ คนยูดาห์ คนเอโดม คนอัมโมน คนโมอับและทุกคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่โกนผมจอนหู เพราะทุกประชาชาติไม่ได้เข้าสุหนัต และพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ไม่ได้เข้าสุหนัตทางใจ”
อาจารย์เปาโลได้อธิบายในข้อที่ 12 สำหรับคนต่างชาติที่ไม่ได้เข้าสุหนัตในพันธสัญญาเดิมว่า เมื่อก่อนที่พวกเขาจะมาพบพระคริสต์ พวกคนต่างชาติ ซึ่งความจริงหมายถึงเราทุกคนที่นี่นะครับ เราถูกตัดขาดจากพระคริสต์ พระเมสสิยาห์ ผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ เป็นกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายมาจากยิว กษัตริย์ดาวิด พวกเราไม่ใช่ประชากรของอิสราเอล เป็นคนต่างด้าว เป็นพลเมืองชั้นสอง เป็นคนที่อยู่นอกพันธสัญญา ไม่ได้รับพระพรที่สัญญาไว้กับอับราฮัม เป็นพวกที่ไม่มีความหวัง ไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์เที่ยงแท้ เรานมัสการพระอื่นๆ เราปราศจากพระเจ้า จึงปราศจากความหวัง
นั้นคือสถานะของคนต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพวกเราก่อนจะพบกับพระคริสต์
แต่ขอบคุณพระเจ้า เมื่อเราซึ่งเป็นคนต่างชาติ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
[Slide# 12]
โคโลสี 2:13
“13และท่านซึ่งตายแล้วเนื่องด้วยการละเมิดทั้งหลาย และเนื่องด้วยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน พระเจ้าทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตร่วมกับพระคริสต์ และทรงให้อภัยการละเมิดทั้งหลายของเรา”
พี่น้องครับ ทำไมเราที่เป็นคนต่างชาติต้องรู้ความจริงนี้ครับ การที่เรารู้ความจริงว่าเราได้รัรบความรอด จากพระคริสต์ทให้เรามีหัวใจที่ซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้าและความชื่นชมยินดี เราที่เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิวโดยกำเนิด มีเหตุผลมากมายเลยครับ ที่จะขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงนำเราจากที่ๆเราเคยอยู่ห่างไกลพระเจ้าเที่ยงแท้ กลับมาหาพรพระองค์ รับการยกโทษ และคืนดีกับพระเจ้าในพระคริสต์ พบในข้อที่สองครับ
[Slide# 13]
(2) “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” ข้อ 13-18
ให้เราอ่านออกเสียงด้วยกันครับ
[Slide# 14 & 15]
“13แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14เพราะว่าพระองค์เองทรงเป็นสันติภาพของเรา โดยร่างกาย ของพระองค์ ทรงทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่แยกระหว่างสองฝ่ายคือการเป็นศัตรูกัน 15ทรงทำให้ธรรมบัญญัติซึ่งประกอบด้วยบัญญัติและคำสั่งต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อสร้างให้เป็นคนใหม่คนเดียวกันในพระองค์จากคนสองฝ่ายนั้น เช่นนั้นแหละ พระองค์จึงทรงทำให้เกิดสันติภาพ 16และทำให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกับพระเจ้าเป็นกายเดียวโดยทางกางเขน จึงเป็นเหตุให้การเป็นศัตรูกันหมดสิ้นไป 17พระองค์ทรงมาประกาศสันติภาพแก่พวกท่านที่อยู่ไกล และแก่บรรดาคนที่อยู่ใกล้ 18เพราะว่าโดยทางพระคริสต์เราทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”
เหตุการณ์จริงในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ในงานพิธีระลึกถึงครอบครัวผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สมาชิกในคริสตจักรนั้น ต่างนั่งแยกฝั่งกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งนิยมนาซี และอีกฝั่งหนึ่งต่อต้านนาซี Priest ที่ประกอบพิธีได้กล่าวกับคริสตจักรว่า สมาชิกทั้งหมด จะไม่สามารถเข้ามาร่วมรับมหาสนิทได้ จนกว่า ทั้งสองฝั่งจะเข้าไปจูบกันด้วยสันติ เพื่อที่ทั้งสองฝ่ายจะเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ และเข้ามาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับพระเยซูคริสต์ในมหาสนิท
[Slide# 16]
พระเยซูคริสต์ เป็นผู้เดียวที่รื้อฟื้นทั้งหมด และสร้างสันติ ในข้อที่ 13 อาจารย์เปาโล เริ่มต้นประโยคว่า “แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์...” เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ สถานะภาพในข้อ 1 แตกต่างและแตกแยก ได้จบสิ้นลงแล้ว
เราที่เป็นคนต่างชาติบัดนี้ไม่ต้องอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังอีกต่อไปแล้ว
ข้อที่ 14
14เพราะว่าพระองค์เองทรงเป็นสันติภาพของเรา โดยร่างกาย ของพระองค์ ทรงทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่แยกระหว่างสองฝ่ายคือการเป็นศัตรูกัน
[Slide# 17]
กำแพงที่แยกระหว่าง อิสราเอล กับคนต่างชาติ ที่อาจารย์เปาโลกล่าว หมายถึงกำแพงที่แบ่งคนในพระวิหาร แบ่งคนออกเป็น 5 กลุ่มด้วย กัน ให้อยู่ได้แต่ในพื้นที่ของตนเอง ห้ามก้าวข้ามเข้ามา กำแพงที่แบ่งคน ห้ากลุ่ม พื้นที่คนต่างชาติ ผู้หญิง อิสราเอลที่เป็นผู้ชาย ปุโรหิต และ อภิสุทธิสถาน
พระเยซูได้รื้อกำแพงนี้ลงแล้ว เพื่อที่ผู้เชื่อคนอิสราเอลกับคนต่างชาติ ไม่ต้องแตกแยก แต่จะเป็นคนๆเดียวกัน เป็นคนใหม่ เป็นชุมชนแห่งความเป็นหนึ่งเดียว คือ คริสตจักร
[Slide# 18]
กาละเทีย 3: 28 อาจารย์เปาโลเขียนว่า
28จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์”
เจาะจง สำหรับสุหนัตและคนต่างชาติที่ไม่ได้เข้าสุหนัต
กาละเทีย 6:15
“15เพราะว่าจะเข้าสุหนัตหรือไม่นั้น ไม่สำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ”
แล้วทำไมยังไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่แท้จริงในโลกนี้ ยังไม่มีสันติภาพที่แท้จริงในโลกนี้ และ
ที่สำคัญ ความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักรด้วย เราเห็นความแตกแยกเกิดขึ้นในคริสตจักร การฟ้องร้องกันในคริสตจักร คนบางกลุ่มไม่พูดหรือเสวนากับคนอีกกลุ่ม ที่อาจจะมีความคิดเห็นในบางเรื่องแตกต่างกัน ทำอย่างไร คริสตจักรจึงจะบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างที่พระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวไว้
คำตอบคือ “ในพระคริสต์” มีเพียงเงื่อนไขเดียวครับ คือ “บัดนี้ในพระคริสต์” ข้อที่ 14 พระคริสต์ทรงเป็นองค์สันติภาพ เมื่อเรามีชีวิตที่ยอมให้พระคริสต์เข้ามาครอบครองจิตใจเรา มีชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเยซูคริสต์ เชื่อฟังคำสอนที่พระเยซูสอน ให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ปกครอง จริงๆในชีวิตของเรา เมื่อนั้น ความเป็นหนึ่งเดียวก็จะเกิดขึ้น เพราะ ในพระคริสต์ พระองค์ทรงรื้อกำแพงที่แยกระหว่างสองฝ่ายคือการเป็นศัตรูกัน
โลกนี้จะไม่มีสันติภาพที่แท้จริง ถ้าไม่อยู่ในพระคริสต์
คริสตจักรจะไม่บรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าสมาชิกในคริสตจักรไม่ได้อยู่ “ในพระคริสต์”
[Slide# 19]
เมื่อเรายอมให้พระคริสต์ครอบครองจิตใจเรา
ความแตกต่างจะไม่เป็นความแตกแยกอีกต่อไป
คริสตจักรจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้ภายใต้ความแตกต่าง
เมื่อเรามีชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ จะสำแดงออกเป็นความถ่อมใจ เมื่อเรายอมถ่อมใจ ลดทิฐิตนเองลง เลียนแบบ พระเยซูคริสต์ ในการให้อภัย ยกโทษ คืนดี เมื่อเราเป็นสาวกแท้ของพระคริสต์ ความเป็นหนึ่งเดียวในคริสตจักรจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
มีสิ่งใดหรือไม่ที่ยังเป็น “กำแพงที่แบ่งแยก” เราออกจากพี่น้องบางคนในคริสตจักร? “กำแพงที่แบ่งแยกคือ อะไร?” ให้เราสารภาพบาป และกลับใจใหม่
มีพี่น้องในคริสตจักรบางคนหรือไม่ที่ยังเป็นคนแปลกหน้าของเรา เราไม่เคยทักทายหรือพูดคุยด้วยเลย ให้เราได้มีโอกาสทักทาย แนะนำตัวเองและพูดคุยกัน
แล้วเราจะเป็น หนึ่งเดียวกันเพื่ออะไรครับ สมาคม ชมรม ก็อาจจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้
[Slide# 20]
(3) “แตกต่างและเติบโต” ไปด้วยกัน ข้อ 19-22
ให้เราอ่านออกเสียงด้วยกันนะครับ
[Slide# 21]
“19เพราะฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ใช่คนนอกและคนต่างด้าวอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับบรรดาธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า 20ท่านทั้งหลายถูกก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานของบรรดาอัครทูตและบรรดาผู้เผยพระวจนะ มีพระเยซูคริสต์เป็นศิลาหัวมุม 21ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงสร้างถูกเชื่อมต่อกันและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22และในพระองค์นั้น พวกท่านก็กำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ”
อาจารย์เปาโลให้ภาพของการเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่สามภาพด้วยกันครับ
(1) ประชากรในแผ่นดินพระเจ้า หรือที่เรื่องว่า พลเมืองเดียวกับบรรดาธรรมิกชน
(2) ครอบครัวของพระเจ้า
(3) และภาพสุดท้าย พระวิหารของพระเจ้า การทรงสถิตของพระเจ้าในคริสตจักร
คริสตจักรที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีอัตลักษณ์ใหม่ Identity ใหม่ คือ ต่างเป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้า มีพระเจ้าครอบครองสูงสุด ความเป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้าอยู่เหนือสถานะในโลกทุกสถานะ ไม่ว่าเราจะคนเชื้อชาติอะไร เพศอะไร การศึกษาเป็นอย่างไร จะมีการศึกษาเป็น ดร หรือจะอ่านหนังสือไม่ออก ไม่ว่า ฐานะจะเป็นอย่างไร จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบไหน เราทุกคน ล้วนเป็นประชากรในแผ่นดินพระเจ้า มีพระเจ้าเพียงผู้เดียว ครอบครองหัวใจของเรา
คริสตจักรเป็นครอบครัวของพระเจ้า เราต่างเป็นพี่น้องกัน ในพระคริสต์
ในพระคริสต์ เรากำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกัน เป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ บนรากฐานของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ (ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่) มีพระคริสต์เป็นศิลาหัวมุม กำกับโครงสร้าง การก่อสร้าง
ในพระคริสต์เรากำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกัน
คริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน
พี่น้องที่รักครับ คริสตจักรที่อยู่ในพระคริสต์ ต้องเติบโต ครับ เพราะชีวิตของเรายังก่อสร้างไม่เสร็จ พระวิหารกำลังถูกก่อสร้างไปเรื่อยๆ แต่ถูกก่อสร้างบนรากฐานที่ได้ถูกวางไว้แล้ว
[Slide# 22]
1 เปโตร 2:4-5
4จงมาหาพระองค์ พระศิลาที่มีชีวิต ที่แม้ถูกมนุษย์ปฏิเสธแล้ว แต่กลับเป็นศิลาที่ทรงเลือกสรร และล้ำค่าในสายพระเนตรพระเจ้า 5และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์”
พระนิเวศฝ่ายวิญญาณ กำลังเติบโต น้ำพระทัยพระเจ้าไม่ปรารถนาให้เรา เป็นคริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แบบสมาคมหรือชมรม แต่เป็นพระวิหารที่สถิตของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราเติบโตขึ้นในความเชื่อ ในลักษณะชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น เป็นคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตไปวันๆ โดยไม่มีจุดหมาย ดำเนินชีวิตอยู่ในความประมาณ ไม่เติบโต
วินัยฝ่ายวิญญาณ ที่เติบโตในชีวิตของเรา การเฝ้าเดี่ยวในทุกๆวัน การอธิษฐานที่เป็นชีวิต การมานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรในทุกอาทิตย์ การอ่านพระคัมภีร์ การที่มีหัวใจในงานรับใช้พระเจ้า งานพันธกิจ การประกาศและสร้างสาวก การขยายแผ่นดินของพระเจ้า
คริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน
เราได้เป็นหุ้นส่วนกับคริสตจักรในการขยายแผ่นดินของพระเจ้าและในงานรับใช้พระเจ้าหรือไม่?
วันนี้ เรากำลังเติบโตขึ้นในความเชื่อและงานรับใช้ หรือ ความเชื่อและชีวิตรับใช้ของเรากำลังถดถอย ? เพราะสาเหตุใด
[Slide# 23]
มีข่าวชิ้นหนึ่งเมื่อ หกปีที่แล้ว Kiyoshi Kimura เจ้าของร้านซูชิ ซันไม เขายังเป็นผู้ที่สามารถเปลี่ยนโจรสลัดโซมาเลียให้กลายมาเป็นชาวประมงจับปลาทูน่าให้กับร้านซูชิของเขาเองอีกด้วย! ผู้คนหวาดกลัว กลุ่มโจรสลัดโซมาเลีย ไปทั้งโลก
แต่คุณคิมูระบอกว่าคงไม่มีใครเกิดมาแล้วอยากเป็นโจรหรอก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คุณคิมุระจึงได้นัดไปจับเข่าพูดคุยกับโจรสลัดเหล่านั้น ทำให้รู้ว่า แท้จริงเพราะความสูญเสียในสงครามกลางเมืองและความอดอยาก ทำให้คนเหล่านั้นต้องผันตัวมาเป็นโจรเพราะไม่มีความรู้ ในการประกอบอาชีพอื่น
คุณคิมุระจึงเสนอให้โจรสลัดเหล่านั้นมาทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริตด้วยการ จับปลาทูน่าขาย โดยที่เขาจะรับซื้อไว้เอง
และเป็นที่น่าประหลาดใจมากเพราะความคิดของคุณคิมุระได้รับการตอบรับอย่างดีเกินคาดจากกลุ่มโจรสลัดเหล่านั้น ปัญหาต่อมาก็คือโจรสลัดเหล่านั้นไม่รู้วิธีตกปลาทูน่า ไม่มีเรือที่จะออกไปจับ ไม่มีห้องเย็นที่จะเก็บปลาหลังตก และก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งใน IOCT หรือสมาคมปลาทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดียทำให้ไม่มีช่องทางการส่งออกทูน่า
คุณคิมุระก็เลยให้เรือประมงญี่ปุ่นที่ใช้งานแล้วไปหลายลำ ซ่อมห้องเย็นให้ และหาทางให้โซมาเลียเข้าร่วมสมาคมปลาทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดียจนได้ นอกจากนี้เขายังได้เดินทางไปโซมาเลียนับสิบครั้งเพื่อสอนวิธีการจับปลาทูน่าให้อดีตโจรสลัดเหล่านั้นด้วยตัวเอง!
ทุกวันนี้ชาวโซมาเลียได้เปลี่ยนอาชีพหลักจากการหากินด้วยการปล้น มาเป็นการส่งออกปลาทูน่าแทน และได้ส่งออกประมาณ 100 ตันต่อปี จำนวนโจรสลัดที่ออกปล้นในน่านน้ำโซมาเลียก็ลดลงจนเป็นศูนย์ในปีที่ผ่านมา
คนในโลกนี้ ที่เค้าไม่รู้จักพระเจ้า แต่นำหลักการในพระคัมภีร์ไปใช้ ก็เกิดพระพรครับ คิมุระ สามารถทลายกำแพงแห่งอคติและความกลัว และเชื้อชาติ ทำให้ ความแตกต่าง ไม่เป็นอุปสรรคในการแตกแยก แต่สามารถเติบโตไปด้วยกันได้
นี่ขนาดคนที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ แต่นำหลักการไปใช้ จนสำเร็จ ทางด้านกายภาพ แล้วเราที่เป็นผู้เชื่อที่มีพระคริสต์ละครับ หากเราเชื่อฟัง ถ่อมใจ และนำหลักการพระคัมภีร์ไปใช้ จะเกิดผลอย่างมากมายเพียงไร
[Slide# 24]
สามประการนะครับ ที่พระเจ้าเปิดเผยวันนี้ ชุมชนใหม่ ในพระคริสต์ คริสตจักร
จาก ความแตกต่างและแตกแยก ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า ไม่มีส่วนในพันธสัญญาพระเจ้า ไม่มีพระคริสต์ เป็นศัตรูต่อกันและกัน และ กับพระเจ้า
บัดนี้ ในพระคริสต์ โดยพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เราเป็นชุมชนใหม่
ที่ในความแตกต่าง แต่เราไม่แตกแยก มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระคริสต์ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน แม้จะแตกต่างกัน พระคริสต์ได้ทรงรื้อกำแพงที่แบ่งแยกเราลงแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้า และ ชีวิตของเรากำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นเป็นพระวิหาร ที่ทรงสถิตของพระวิญญาณพระเจ้า
ในความแตกต่าง เราเติบโตไปด้วยกัน คริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ
“ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร”
เอเฟซัส 2:11-22
วันอาทิตย์ 2 ตุลาคม 2022
บทนำ
(1) เอเฟซัส 2 เป็นพื้นฐานที่สำคัญของเอเฟซัสที่เหลือทั้งเล่ม เพราะเป็นหลักข้อเชื่อ ความจริงที่พระเจ้าสำแดง “ในพระคริสต์”
(2) ครึ่งแรกของเอเฟซัส 2 ในข้อ 1-10 คือ พระคุณพระเจ้าผู้ทรงประทาน “ชีวิตใหม่” ในพระคริสต์ ในขณะที่ครึ่งหลังของ เอเฟซัส 2 ข้อ 11-22 อาจารย์เปาโลได้บรรยายถึง “ชุมชนใหม่” ในพระคริสต์ ซึ่งก็คือ คริสตจักร นั้นเอง
“ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร”
สามประการ พระเจ้าทรงประทาน “ชุมชนใหม่” ในพระคริสต์ ให้กับผู้เชื่อโดยพระคุณพระเจ้า
(1) “แตกต่างและแตกแยก” (ข้อ 11-12)
ยิว – ฝ่ายที่เข้าสุหนัต VS คนต่างชาติ – พวกที่ไม่เข้าสุหนัต
โรม 2:29, โคโลสี 2:13, เยเรมีย์ 9:25-26, ปฐมกาล 17:7-9, มัทธิว 3:9
(2) “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” เป็นหนึ่งเดียวกัน (ข้อ 13-18)
กาละเทีย 3:28, 6:15 โคโลสี 1:20-22 ยอห์น 10:16,
“กำแพงที่แบ่งแยก”
(3) “แตกต่างและเติบโต” ไปด้วยกัน (ข้อ 19-22)
1เปโตร 2:4-5
พลเมืองในแผ่นดินพระเจ้า, ครอบครัว,และ พระวิหาร
คำถามสำหรับกลุ่มย่อยเพื่อการไตร่ตรอง:
(1) มีสิ่งใดหรือไม่ที่ยังเป็น “กำแพงที่แบ่งแยก” เราออกจากพี่น้องบางคนในคริสตจักร? “กำแพงที่แบ่งแยกคือ อะไร?” ให้เราสารภาพบาป และกลับใจใหม่
(2) มีพี่น้องในคริสตจักรบางคนหรือไม่ที่ยังเป็นคนแปลกหน้าของเรา เราไม่เคยทักทายหรือพูดคุยด้วยเลย ให้เราได้มีโอกาสทักทาย แนะนำตัวเองและพูดคุยกัน
(3) เราได้เป็นหุ้นส่วนกับคริสตจักรในการขยายแผ่นดินของพระเจ้าและในงานรับใช้พระเจ้าหรือไม่? วันนี้ เรากำลังเติบโตขึ้นในความเชื่อและงานรับใช้ หรือ ความเชื่อและชีวิตรับใช้ของเรากำลังถดถอย ? เพราะสาเหตุใด